วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไม่เคยคิดว่าจะเจอเข้ากับตัว

  เรื่องไม่คาดคิดเพราะบุคลิกที่ออกไป   

    ผมเจาะหู ตัดผม ทำตัวดูเหมือนนักเลง มีหลายคนเคยเตือน แต่ผมไม่สนใจ ผมคิดว่าถึงภายนอกผมจะแสดงออกไปแบบนั้นแต่ภายในผมไม่ชอบเรื่องต่อยตี หรือ เหล้าเบียร์ด้วยซ้ำไป ผมค่อนข้างกังขาว่าทำไมคนชอบดูกันจากภายนอกแล้วตัดสิน ผมจึงยิ่งทำให้มันดูเหมือนพวกนักเลงให้ดูเก๋ามากขึ้นไปอีก จนมันเริ่มติดเป็นบุคลิกจริงๆ (เคยคิดอยากจะสักด้วยซ้ำไป) หลายครั้งมักมีคนมาขอไฟแช็คจากผม ผมดีใจด้วยซ้ำผมคิดว่านี่ไงหล่ะที่เราอยากให้เป็นอยากให้ตัวเองดูเก๋า 

    และวันนี้ความคิดพวกนั้นก็เปลี่ยนไป......
    ขณะนั่งรถเมย์กลับบ้าน ผมเห็นชายคนหนึ่งมองมา ผมมองกลับไปโดยไม่ได้คิดอะไรเพราะนั่นเป็นบุคลิกของผมอยู่แล้ว ซักพักมีที่นั่งว่างระหว่างผมกับเขา ผมจึงมองเขาอีกเพื่อดูว่าเขาจะนั่งมั้ย สุดท้ายก็ไม่มีใครนั่ง เมื่อใกล้ถึงป้ายที่ผมจะลง ที่นั่งเริ่มมากขึ้น ผมจึงเดินไปนั่งช่วงประตูหลังของรถเมย์  และเมื่อถึงป้ายก่อนบ้านของผมเพียงป้ายเดียว เมื่อรถจอดซักพัก ชายที่มองผมตั้งแต่ขึ้นรถก็ลงที่ประตูหน้าแล้วเดินอ้อมมาทางประตูหลังซึ่งตรงกับผมพอดี เขาเอา ปืน จ่อหน้าผม  "เมิงมองกูทำไม จะเอาไงกับกู" เขาพูด

    ผมตกใจเอียงตัวหลบและได้แต่บอก ว่าไม่มีอะไร คนทั้งรถหันมามองแต่ก็ไม่มีใครทำอะไรหรือพูดอะไร โชคยังดีที่หน้าผมตอนนั้นคงไม่ได้แสดงให้คนอื่นนึกว่าตัวผมเองนั้นเก๋าเหมือนปกติที่ผมทำ มันคงเต็มไปด้วยความกลัวสิ่งต่างๆมากมาย เขาชักปืนกลับไปพูดอะไรซักอย่าง แต่ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจแล้ว ผมดีใจที่วินาทีนั้นตัวผมเองไม่ได้ดูเหมือนนักเลง แต่คงดูเหมือนคนซักคนที่กำลังกลัวที่จะตายขึ้นมา

     ถ้าเป็นแค่นิทานหรือเรื่องของใครซักคนผมคงไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะคิดว่าคงไม่มีวันเกิดขึ้นกับผมแน่นอน แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมวันนี้ ผมเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเพราะแค่อยากให้ตัวเองดูเก๋า ดูเท่ ทำเหมือนคนที่ไม่กลัวใคร เดินก็แทบจะไม่เคยหลบให้ใคร ยอมชนโดยไม่หลบ  แต่นั่นมันคือก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ . . . นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมแสวงหาแน่นอน ผมทำตัวเองจนเริ่มเข้าสู่สังคมแบบนี้เพียงเพราะบุคลิกภายนอก ซึ่งผมเคยคิดว่าก็เราไม่ใช่แบบนั้น เราจะไปสนทำไม แน่นอนครับว่าเราไม่สน แต่ที่น่าเสียดายคือ คนตัดสินบุคลิกของเรานั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นคนอื่นที่พบเห็นเราต่างหาก ...

    เลิกแล้วกับบุคลิกท่าทางแบบนี้ ถึงใจเราไม่ได้คิด แต่ สิ่งที่คนอื่นพบเห็นมันทำให้เขาต้องคิด ไม่เอาอีกแล้วอย่าได้เจอแบบนี้อีกเลย......


วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

ความคิด น่าเขียน

ความคิด น่าเขียน


การเขียน เป็นอีกหนึ่งวิธีของการสื่อสาร ปกติทั่วไปเราก็มักพูดมากกว่าเขียนเป็นธรรมดา ด้วยที่การพูดนั้นสะดวกรวดเร็วโดยรวมมันก็ง่ายกว่าการเขียน แต่บางครั้งการเขียนก็ช่วยอะไรๆได้มาก ซึ่งในบางเรื่องมันก็ดีกว่าการพูดซะอีก  

     ผมว่าคนเราคิดอะไรได้ดีมากมายเลยครับ เวลาว่าง เวลานั่งเล่น เวลานอนไม่หลับ เพียงแต่ปกติเราไม่ได้จดไว้เวลาคิดถึงมัน ก็เลยผ่านมาแล้วก็ผ่านไป พอจะจำได้บ้างก็จะเป็นเหมือนเคยคิดอะไรดีๆออกแต่ไม่รู้มันคืออะไร 

    บางครั้งการเขียนอาจทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น จากความคิดในสมองที่ตีกันไปมาได้เชื่อมโยงก้อนความคิดต่างๆเข้าร้อยเรียงกัน  เหมือนเป็นการทำความเข้าใจกับความคิด กลายเป็นมุมมองของเราในเรื่องต่างๆออกมา

    กระทั่งบางครั้งที่เราอยากจะบอกกล่าวหรือระบายความรู้สึกออกมากับใครซักคน มันคงไม่ง่ายเท่าไหร่ที่จะหาคนมารับฟังเราได้ทุกเรื่องตลอดเวลา แต่การเขียนก็ช่วยได้มาก เช่นใน facebook ถ้ามีคนมาอ่านซักคนก็เหมือนเราได้บอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกไป  หรือแม้จะไม่มี ก็ยังมีตัวเราเองที่รับฟังเพราะอย่างน้อยก็มีเราที่อ่านบทความของเราเอง  เราจะได้เป็นทั้งผู้ระบายและผู้รับฟังของตัวเราเอง   

   เมื่อเวลาผ่านไป เราได้กลับมาอ่านบทความของเราเหล่านั้น อาจจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเราเองในด้านความคิด บางครั้งผมก็ยังสงสัยว่าความคิดแบบสมัยเด็กๆที่สนุกกับการวิ่งไล่แตะ ความอยากเป็นหมอเป็นคุณครู มันหายไปตอนไหน ผมเรียกบันทึกเหล่านี้ว่า บันทึกความคิด

    อีกอย่างผมคิดว่ามันก็สนุกดีนะครับเวลาได้ย้อนกลับไปอ่านบทความที่เคยเขียนครั้งก่อน เช่น ตอน ม.6 เหมือนบทความของเด็กคนหนึ่งซึ่งเราอาจลืมไปแล้วว่านั่นคือเราเองที่มีมุมมองในแบบนั้น บางทีก็ตลกการใช้คำ ตลกความเป็นเด็กของมัน เด็กเมื่อครั้งหนึ่งเคยเป็นเราเอง

   บางคนอาจเลือกเขียนลงสมุดบันทึกส่วนตัว แต่สำหรับผม  ผมเลือกเขียนลงโซเชียลเพราะมันสะดวก มันเหมือนได้บอกอะไรออกไปในสังคมด้วยและถ้ามีใครซักคนเข้ามาอ่าน มันก็ทำให้รู้สึกดีด้วยนะครับ และบางทีก็ได้ความคิดเห็นต่างๆมาด้วย 

   ไม่มีอะไรน่ากังวล ว่า จะเขียนรู้เรื่องมั้ย ภาษาที่ใช้ ลำดับการเขียน ความสั้นยาวเนื้อหา แม้กระทั่งชื่อเรื่อง ว่าคนอื่นจะอ่านเข้าใจรึป่าว จะชอบมั้ย เพราะเราไม่ใช่นักเขียนอยู่แล้ว เราเขียนขึ้นมาเพื่อเราเขียนจากคนธรรมดา แค่เขียนเราก็ได้อะไรๆมากแล้ว ส่วนผลต่อมาจะเป็นไงก็เป็นของแถมต่อไป

  ไม่มีอะไรน่ากังวล ว่า จะมีคนอ่านมั้ยเพราะอย่างน้อยก็มีเราแล้วที่ได้อ่าน
เราเขียน ก็ยังมี เราอ่าน
เขียน 1 อ่าน 1 ก็เจ๊ากันนะครับ